
“ความความสำเร็จ” ย่อมเป็นเป้าหมายสำคัญอย่างหนึ่งของทุกๆ คน
นักเขียนก็เช่นกัน แม้ว่าการประสบความสำเร็จของนักเขียนหนังสืออาจมีหลากหลายมุมมองที่แตกต่างกันไป แต่ความสำเร็จอย่างหนึ่งที่เป็นเป้าหมายของนักเขียนหรือคนทำหนังสือหลายๆ คนก็คือ อยากให้หนังสือของตัวเองขายดีหรือติดอันดับ Bestseller นั่นเอง
หากคุณเป็นนักเขียน และคุณเองก็เป็นอีกคนหนึ่งที่อยากให้หนังสือของคุณขายดีติดอันดับ Bestseller
วันนี้ตลาดปัญญามีเคล็ดลับและกลวิธีที่น่าสนใจมาบอกเล่าให้ฟังเพื่อเป็นแนวทางในการนำไปปรับใช้กับงานเขียนของคุณ และทำให้งานเขียนของคุณสามารถกลายเป็นหนังสือขายดีได้ในที่สุด
1. เริ่มต้นลงมือทำ
การเริ่มต้นงานเขียน สิ่งแรกที่คุณต้องถามตัวเองก็คือ คุณถนัดอะไร ชอบที่จะเขียนอะไร และเมื่อคุณได้คำตอบเหล่านี้แล้ว สิ่งถัดมาที่คุณต้องทำ
หากคุณอยากให้งานของคุณเป็น Bestseller คุณต้องมองให้ออกว่า งานเขียนของคุณเป็นงานที่ผู้อ่านอยากจะอ่านหรือไม่ มันคงจะเป็นไปได้ยากที่จะทำให้งานเขียนของคุณขายดี หากงานเขียนของคุณไม่ได้รับความสนใจจากผู้อ่าน
หากคุณต้องการให้งานเขียนของคุณขายได้ “ไม่ใช่เพียงแค่ คุณอยากเขียนอะไร แต่คุณต้องนึกด้วยว่าผู้อ่านอยากอ่านอะไร”
นั่นก็คือ คุณต้อง “ฟังเสียงลูกค้าของคุณ” ด้วย และสร้างงานเขียนของคุณให้เข้ากับลูกค้าหรือผู้อ่าน มีนักเขียนหลายคนที่เข้าใจผิดเรื่องนี้ พวกเขาเริ่มเขียนโดยการไม่สนใจว่าผู้อ่านต้องการอ่านอะไร (เขียนแต่สิ่งที่ตนเองรู้และอยากเขียน) และสุดท้ายก็ทำให้ผลงานของพวกเขาขายไม่ได้ หากอยากเขียนให้ขายดีคุณต้องคำนึงเสมอว่า ผู้อ่านคือลูกค้าของคุณ
วิธีที่ง่ายที่สุดที่จะทำให้คุณได้รู้ว่าผู้อ่านชอบหนังสือแบบไหน คือการลองไปที่ร้านหนังสือแล้วดูว่าหนังสืออะไรที่ติดอยู่ในอันดับหนังสือขายดี หรือ Bestseller บ้าง ลองสังเกตดูอย่างน้อยสัก 6 เดือน แล้วคุณจะพบว่าปัจจุบันผู้อ่านกำลังนิยมหนังสือประเภทไหนอยู่ แล้วนำมาปรับใช้กับงานเขียนของคุณ
2. วางโครงเรื่อง
สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งของการเขียนคือ คุณจำเป็นต้องวางโครงเรื่อง เพราะการวางโครงเรื่องว่าคุณจะเขียนอะไรบ้าง จะทำให้คุณมองเห็นภาพรวมและมีกรอบสำหรับงานเขียนของคุณ เพื่อที่จะสามารถใช้เป็นแนวทางในการกำหนดรายละเอียดของเนื้อหาและวิธีการนำเสนอ นอกจากนั้นยังช่วยให้สามารถเรียบเรียงเรื่องราวได้อย่างเป็นไปตามลำดับ ให้เนื้อหามีความสอดคล้องและเกี่ยวเนื่องกัน ดังนั้นหากคุณวางโครงเรื่องก่อนที่จะทำการเขียน จะทำให้เรื่องของคุณตรงตามจุดมุ่งหมายและตามแก่นเรื่องที่คุณวางไว้ ไม่วกวน หรือเขียนออกนอกเรื่อง
3. ชื่อเรื่องดี มีชัยไปกว่าครึ่ง
ในร้านหนังสือ มีหนังสืออยู่มากมายหลายเล่มบนชั้น ดังนั้น สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือชื่อเรื่อง เพราะชื่อเรื่องหรือหน้าปกคือส่วนแรกที่ทุกคนจะต้องเห็น ดังนั้นหากชื่อเรื่องของคุณไม่มีความน่าสนใจ ก็อาจทำให้ผู้อ่านไม่เลือกหยิบหนังสือของคุณขึ้นมา และอาจจะไปเลือกหยิบหนังสือเล่มอื่นแทน ดังนั้น การตั้งชื่อเรื่องให้ดึงดูดและมีความน่าสนใจจึงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่คุณไม่ควรมองข้าม
คุณอาจจะลองใช้เทคนิคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การตั้งคำถาม ทำให้เกิดความสงสัย หรือการสร้างแรงบันดาลใจ หรือบอกผลลัพท์ที่ได้จากการอ่านหนังสือเล่มนี้ก็ได้ สิ่งสำคัญคือ..ชื่อเรื่องควรมีความสั้นและกระชับ เพราะนิสัยของผู้บริโภคยุคปัจจุบันนั้นใจร้อนและเบื่อง่าย ดังนั้นการตั้งชื่อเรื่องให้กระชับและตรงประเด็นจึงมีความสอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคมากที่สุด อย่างไรก็ตาม หากคุณสามารถเลือกชื่อเรื่องที่เหมาะสมและโดนใจผู้อ่าน นั่นหมายความว่า ไม่เพียงแต่ทำให้พวกเขาหยุดที่จะหยิบหนังสือของคุณขึ้นมาดู แต่มันอาจจะทำให้พวกเขาซื้อมันเลยก็ได้
4. เขียนหนังสือที่คุณอยากอ่าน
อีกวิธีการหนึ่งที่ง่ายที่สุดคือ การเดินเข้าไปที่ร้านหนังสือ แล้วดูว่าคุณอยากอ่านอะไร แล้วคุณก็เขียนหนังสือแบบนั้นขึ้นมา เพราะมันคงเป็นไปไม่ได้เลยที่หนังสือจะขายดี ถ้าแม้แต่ตัวคุณเองยังไม่อยากจะอ่านมันเลย ดังนั้น คุณต้องเขียนหนังสือที่ตัวเองอยากอ่าน หรือเมื่อเขียนเสร็จแล้วอย่าเพิ่งนำต้นฉบับไปให้กับสำนักพิมพ์ แต่ให้วางต้นฉบับของคุณไว้ก่อนและเมื่อเวลาผ่านไปลองกลับมาอ่านมันอีกครั้งว่าคุณรู้สึกอย่างไรกับงานเขียนของคุณบ้าง
5. การตลาดเป็นสิ่งสำคัญ
ความเข้าใจผิดบางประการที่เกิดขึ้นสำหรับนักเขียนก็คือ คิดว่าการตลาดไม่สำคัญ หรือไม่ก็ปล่อยให้เป็นภาระของผู้จัดจำหน่าย (อย่าลืมว่าในสัปดาห์หนึ่งๆ ผู้จัดจำหน่ายมีหนังสือมาใหม่กี่เล่ม) หากคุณเขียนโดยไม่มีจุดประสงค์ว่าต้องการให้หนังสือของคุณขายดี แน่นอนว่าการตลาดย่อมไม่สำคัญ แต่ถ้าคุณเขียนเพื่อต้องการให้หนังสือขายดีและติด Bestseller ด้วย การตลาดนับว่าเป็นสิ่งสำคัญที่คุณไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เพราะหนังสือคุณจะเปรียบเสมือนเป็นสินค้าชิ้นหนึ่ง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการทำการตลาดเพื่อให้มีคนรู้จัก “สินค้า” หรือ “หนังสือ” ของคุณ
เคล็ดลับที่สำคัญคึอ คุณต้องรู้จักผู้อ่านของคุณ รู้ว่าผู้อ่านของคุณต้องการอะไร ชอบแบบไหน อยากรู้อะไร สิ่งเหล่านี้จะทำให้คุณสามารถมองเห็นว่าคุณจะเขียนอะไร เพื่อให้พวกเขาชอบและซื้องานของคุณ
ดังนั้น การมีความรู้เกี่ยวกับการตลาดจึงเป็นอีกความรู้หนึ่งที่คุณควรจะเรียนรู้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
6. เหนือกว่าคนอื่นด้วยประสบการณ์
สิ่งสุดท้ายที่สำคัญที่สุดและขาดไม่ได้เลยก็คือประสบการณ์นั่นเอง เพราะประสบการณ์จะทำให้คุณรู้ว่า เรื่องไหนที่ผู้อ่านชอบ และเรื่องไหนที่ผู้อ่านไม่ชอบ ควรนำเสนอด้วยกลวิธีไหน แบบไหนถึงจะน่าสนใจ ซึ่งประสบการณ์ของนักเขียนไม่ใช่เพียงแค่การลงมือเขียนแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่สิ่งสำคัญที่นักเขียนหลายๆ คนเผลอมองข้ามไปคือ ประสบการณ์ในการเป็นนักคิด นักเขียนที่ดีย่อมเป็นนักคิดที่ดีด้วย เพราะคุณไม่สามารถสร้างผลงานใดๆ ได้เลยถ้าปราศจากการคิด และกลวิธีสำคัญที่เหล่านักคิดและนักเขียนที่ดีมักใช้กันก็คือ การเรียนรู้ให้เยอะที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือ การสังเกตหลายๆ อย่างรอบตัว คุณต้องเปิดโอกาสให้คุณได้เรียนรู้ทุกอย่างที่ขวางหน้า อย่าจำกัดการเรียนรู้ของคุณไว้เพียงแค่เรื่องใดเรื่องหนึ่ง เพื่อที่คุณจะมี “คลังข้อมูล” ส่วนตัวของคุณเก็บไว้ และสามารถเลือกหยิบข้อมูลเหล่านั้นมาถ่ายทอด หรือมาเขียนให้ผู้คนประทับใจได้ในที่สุด
แล้วพบกันใหม่ ในบทความหน้านะคะ
บรรณาธิการ : ตลาดปัญญา.com