9 ข้อคิดสำหรับนิสิต/นักศึกษาจบใหม่ในการหางาน

ช่วงนี้น้องๆ กำลังจบจากมหาวิทยาลัยกัน หลายคนได้งานแล้วตั้งแต่กลางปี 4 บางคนได้งานแล้วแต่ยังเลือก บางคนเพิ่งกำลังมองหางาน หรือกำลังตัดสินใจด้วยซ้ำว่าจะเรียนต่อ ป.โท เลยดีไหม (ถ้ามีทุนทรัพย์และมีโอกาส) บทความนี้จะให้ข้อคิดในการเลือกงานและเทคนิคในการทำงานให้ประสบความสำเร็จ

ผมเองบริหารอยู่ในบริษัท IT มหาชน มีพนักงานเฉียด 1,000 คน อยู่ในสายธุรกิจที่ปรึกษาและพัฒนาซอฟต์แวร์มาตลอด 14 ปีที่นี่ ช่วงแรกๆ บริษัทเรายังมีพนักงานประมาณ 200 คน และเติบโตต่อเนื่องทุกปี ทำให้ทุกปีผมต้องสัมภาษณ์งานนักศึกษาจบใหม่และคนที่ผ่านงานแล้วปีละประมาณ 50-80 คน จึงได้เห็นทัศนคติของคนที่ยังไม่มีประสบการณ์การทำงาน นอกจากนั้นก็ยังมีการสัมภาษณ์ Exit Interview ก็คือเป็นการคุยกันในจังหวะที่พนักงานมาลาออก มีทั้งที่อยากคุยเพื่อให้เรารู้และปรับปรุงองค์กร และทั้งแบบที่คุยเพื่อชักชวนให้อยู่กับบริษัทเราต่อไป จากที่ได้เห็นอะไรมาเยอะก็อยากจะเอาข้อคิดมาแชร์กันนะครับ เน้นๆ สำหรับน้องๆ จบใหม่ที่กำลังหางานกันนะครับ

ตั้งเป้าหมาย แล้วตามล่าหาความฝัน1. ตั้งเป้าหมายแล้วตามหาความฝัน – หลายคนมาสมัครงานเพราะเพื่อนชวนมา ยังไม่รู้เลยว่าบริษัทนี้ทำอะไร คือหลายคนมีความคิดลึกๆ “สะกดจิตตัวเอง” ว่างานหายาก ที่ไหนรับก็เอาไว้ก่อนเลย แต่ผมอยากจะแนะนำว่า ให้ลองนึกภาพว่าอีก 5 ปีข้างหน้าเรากำลังทำอะไร เรามีศักยภาพในการทำอะไรและมีรายได้เท่าไหร่ (คิดนอกกรอบ แต่ไม่เกินตัว) แล้วมองหาว่าบริษัทที่มีลักษณะงานและตำแหน่งงานแบบนั้นอยู่ที่ไหน เขามองหาคนแบบไหนไปร่วมงานกับเขา เรามีไหม จงสร้างคุณสมบัตินั้นขึ้นในตัวเราแล้วมุ่งหน้าไป(สมัคร)ทำงานที่นั่น

ที่ว่าสร้างคุณสมบัติเพ่ิมนั้น บางครั้งเป็นการที่ยังไม่เริ่มสมัครงานในทันใด แต่ไปเรียนเสริม อาจจะเป็น certificate หรือนอกหลักสูตร หรือแม้กระทั่งไปทำงานที่อื่นก่อนเพื่อเก็บ profile หรือสะสมความรู้/ทักษะ/ความสามารถบางอย่างที่จะตอบโจทย์หลัก (บริษัทที่เราใฝ่ฝัน) ให้ได้

You never know how high you can fly คุณนึกไม่ถึงหรอกว่าคุณจะบินสูงได้เท่าไหร่ และอย่าคิดว่ารู้ เพราะมันจะจำกัดเพดานบินตัวเอง สะกดจิต(อีกแล้ว)ว่านี่คือเจ๋งสุดที่ฉันเป็นได้แล้วหละ…ไม่ช่ายยย

 

Growth Trend แนวโน้มธุรกิจ2. ดู Trend ด้วย – ธุรกิจบางอย่างอยู่ใน down trend (แนวโน้มขาลง) บางอย่างอยู่ในขาขึ้น สิ่งที่เรียนมา 4 ปีไม่ได้แปลว่าเราต้องอยู่ในวงการนั้นเท่านั้น อย่ามุ่งทำงานเฉพาะสิ่งที่เรารู้ แต่ต้องมุ่งในสิ่งที่กำลังเติบโตแล้วถามตัวเองว่าเราต้องรู้อะไร

เว็บนี้และบทความนี้..กลุ่มผู้อ่านกว้างเกินไปกว่าที่ผมจะแนะนำอะไรเป็นการเฉพาะเจาะจง แต่ผมยกตัวอย่างว่า สื่อสิ่งพิมพ์จะถดถอย สื่อออนไลน์ และ Mobile กำลังมา คนที่จบสายนิเทศถ้ามุ่งไป TV จะไปผิดที่ ต้องไป Digital Agency เป็นต้น

 

sales skill3. อย่ายึดติดกับสายอาชีพ – คนเราต้องรู้ทุกอย่างในบางสิ่งบางอย่าง และรู้บางอย่างในทุกสิ่งทุกอย่าง คือรู้ลึกและรู้กว้าง จึงจะเติบโตและประสบความสำเร็จได้ คนที่เก่งในสายวิชาชีพอย่างเดียวก็จะหมกมุ่นอยู่กับศาสตร์ที่ตนเองเรียนมาอย่างเดียว การจะโตต่อ เป็นหัวหน้า เป็นคนเชื่อมโยงธุรกิจ หมุนย้ายไปสายงานอื่นเพื่อเตรียมตัวโตต่อ จะเป็นไปไม่ได้ ผมเห็นวิศวกรคอมพิวเตอร์หลายคนภูมิใจกับอะไรที่ยากๆ ใหม่ๆ ฉันรู้ก่อน ฉันรู้เยอะ ฉันเก่งกว่า แต่ขอโทษ..ทำธุรกิจไม่เป็น ขายไม่เป็น อย่าว่าแต่ขายของเลย ขาย idea ยังขายไม่เป็นเลย อย่างนี้จะโตได้อย่างไร

ผมบอกความลับให้อย่างหนึ่งตรงนี้ ทักษะที่ทำเงินได้เยอะสุดคือทักษะการเป็นเซลล์ บางคนร้องยี้..ฉันไม่อยากเป็นเซลล์ ผมก็ไม่ได้บอกว่าอย่างนั้นครับ แต่ผมหมายถึง “ทักษะในการเชื่อมโยงและตอบสนองความต้องการของคนหลายฝ่ายให้บรรลุเป้าหมายทุกภาคส่วน” แบบว่าสร้างสถานการณ์ win-win ให้ได้ นี่่แหละคือ Sales skill ต้องอ่านคนเป็น รู้วิธีคิดของคน เรียนรู้ทักษะในการพูด (โน้มน้าว, ต่อรอง ฯลฯ) ที่สำคัญ..เป็นคนที่เห็นโอกาสอยู่เสมอ อะไรก็เป็นโอกาส (โอกาสของทุกคน ไม่ใช่ของตัวเอง)

 

อ้อ..ฝากประชาสัมพันธ์ครับ อันนี้เป็นโครงการสร้าง Business Development Trainee ที่จะทำให้คุณเป็นคนที่ “เห็นโอกาสเสมอ”

 

4. ลำดับความสำคัญของชีวิตให้ถูก – ผมเคยเจอบทสนทนาแบบนี้กับนิสิตจบใหม่ (จากมหาวิทยาลัยที่เรียกว่าเป็นอันดับ 1 ของประเทศ) หลังจากที่คุยกันไปแล้ว 1 ชั่วโมง

choicesผม: ตอนนี้สมัครงานอยู่กี่ที่
น้อง: หลายที่ครับ แต่มีรับแล้ว 1 ที่ เป็นบริษัทคล้ายกัน
ผม: แล้วถ้าบริษัทพี่ก็รับ บริษัทนั้นก็รับ น้องจะเลือกใคร
น้อง: ผมอยากทราบเงินเดือนก่อนครับว่าที่นี่ให้เท่าไหร่
ผม: ถ้าพี่ให้เท่ากับบริษัทนั้นล่ะ
น้อง: ถ้าแบบนั้นผมเลือกบริษัทโน้นครับ
ผม: ทำไมล่ะ?
น้อง: มันเดินทางใกล้กว่าครับ
ผม: ยังไง?
น้อง: ที่นั่นผมไปรถไฟฟ้าได้
ผม: ที่นี่ก็มารถไฟฟ้าได้เหมือนกันนี่
น้อง: แต่ที่นั่น พอลงรถแล้วเดินใกล้กว่าครับ
ผม: เงิบ… (แต่สมัยนั้นยังไม่มีคำศัพท์นี้นะครับ 555)

คือ..แบบว่า..กลับไปอ่านข้อ 1 แพร๊บได้ไม๊ น้องคนนี้ตัดสินใจเลือกงานจาก 1.เงินเดือน 2.เดินใกล้กว่า คือ..แบบ..เอ่อ..นี่ผมก็เขียนต่อไม่ถูกเหมือนกันนะ

การที่ได้เงินเดือนมากกว่ากัน 500 บาท (หรือ 2,000 เลยเอ้า) มันไม่ทำให้น้องรวยหรอก อย่างมากปีนึงน้องก็มีเงินเก็บมากขึ้น 20,000 อีก 10 ปีก็ 200,000 — คนจนกับคนรวยไม่ได้มีเงินต่างกัน 200,000 บาทหรอกครับ — และผมคิดว่าถ้างานอะไรจะทำให้ผมได้เรียนรู้ ได้เก่งขึ้น ได้มี connection มากขึ้น ผมยอมลำบากที่จะทำมันอย่างแน่นอน

 

บริษัทเล็ก vs บริษัทใหญ่5. บริษัทเล็กหรือบริษัทใหญ่ดี – ทุกข้อที่ผมเขียนในบทความนี้ ผมเขียนจากประสบการณ์ของตัวเอง เป็น Original Content ผมเห็นมาเยอะแล้ว..แบบที่ชอบแปลมา (ผมก็เคยทำ แต่รู้สึกว่ามันไม่เข้ากับคนไทย และที่สำคัญ..มันไม่ได้แสดงถึงความรู้และประสบการณ์ของเราจริงๆ) แบบนั้นใครก็ดูเก่งได้ แต่แค่ดูนะ

แต่ข้อนี้ ผมขี้เกียจเขียน และยกคุณความดีให้กับบทความของ JobsDB ซึ่งผมจะแชร์ลิ้งค์ให้ตอนท้ายของบทความนี้ ตอนนี้ก็อ่านข้อ 6-9 ไปพลางๆ ก่อนนะครับ

 

หัวหน้างานที่ดี6. อยู่หรือไปอยู่ที่หัวหน้า – ไม่ว่าน้องจะไปสมัครงานที่ไหนนะครับ หาโอกาสให้ได้ ในการที่จะได้คุยกับคนที่จะมาเป็นหัวหน้าของเรา เพราะจากประสบการณ์ของผม พนักงานจะอยู่กับบริษัทหรือจะไป ก็อยู่ที่หัวหน้านี่แหละ ถ้าหัวหน้าดี..น้องๆ ก็ทำงานมีความสุข ถ้าหัวหน้าไม่ดี..ผมพบจาก Exit Interview หลายครั้งว่าพนักงานลาออกเพราะเหตุจากหัวหน้านี่แหละ เอาไว้วันหลังจะแชร์ว่าหัวหน้าที่ดีเป็นอย่างไร

แต่สำหรับน้องๆ ที่กำลังสมัครงาน การได้คุยกับคนที่จะมาเป็นลูกพี่เรา เราจะได้รู้ความคิดอะไรหลายๆ อย่าง (ถ้าอ่านคนเป็นนะ ไปลองหาหนังสืออ่านดู) ใจดีไหม เข้มแข็งดุดันไหม เย็นชาไหม สอบถาม..แล้วดูจากสายตาท่าทาง..เขาตื่นเต้นกระตือรือล้นในภารกิจของเขาไหม ถ้าผมเป็นผู้สมัคร ผมอยากเห็นแววตาของคนที่กำลังนำพาองค์กรไปข้างหน้า เห็นอนาคตตัวเอง (พี่เขานั่นแหละ ถ้าพี่เขาโต เราถึงจะได้ขยับ) เห็นความตื่นเต้นท้าทายของงานที่กำลังอยู่ตรงหน้า

 

หัวหน้าที่ดี7. โต/ไม่โตก็อยู่ที่หัวหน้า – อันนี้ดูจากภายนอกยาก แต่ถ้าน้องได้หัวหน้าที่หมั่น challenge เรา ให้งานที่ท้าทาย ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ push เราไปจนสุดขอบ แบบนี้น้องจะเจริญในหน้าที่การงาน

รู้ไหม..เราจะได้ออกไปนอกรั้วของเราก็ต่อเมื่อเราไปยืนอยู่ที่ขอบรั้วก่อน แล้วก้าวออกไป ตราบใดที่ยังอยู่ใน comfort zone ก็จะไม่มีวันเจริญก้าวหน้า

ในทางกลับกัน เราต้องเป็นคนที่เดินเข้าหางาน อย่าทำเพียงแค่ตามสั่ง อย่ามาทำงานเพื่อขายเวลา หรือให้เช่าแรงงาน แต่เราต้องมีจุดมุ่งหมายในการเรียนรู้และเติบโต งานเสร็จ..ต้องไปถามว่ามีอะไรให้ทำอีกไหม งานที่ทำ..ต้องถามตัวเองอยู่เสมอว่ามันมีวิธีที่ดีกว่านี้หรือเปล่า ดีกว่าทั้งวิธีการ (เพื่อประสิทธิภาพ) และดีกว่าทั้งผลลัพธ์ที่คาดหวัง (เพื่อคุณภาพ) ทำงานให้มากกว่าตำแหน่งตัวเอง 1 ขั้นเสมอ (ไม่งั้นหัวหน้าจะรู้ได้ไงว่าเราพร้อมที่จะขยับตำแหน่งขึ้น) เรื่องนี้เขียนหนังสือได้อีกเล่มครับ

 

8. บรรยากาศมันบอก – เวลาน้องเดินเข้าไปในบริษัทนะ ไปสัมภาษณ์งานน่ะ เหลือบดูบรรยากาศในการทำงานซิว่ามันเป็นยังไง มันเงียบๆ มืดๆ อึมครึมซบเซา ก้มหน้าก้มตากันทำงานเงียบๆ หรือว่าบรรยากาศมัน active มีคนเดินไปมา ท่าเดินแต่ละคนเนิบๆ ซึมเซาหรือกระฉับกระเฉง อันนี้มันสะท้อนถึงความเปล่งปลั่งของธุรกิจนั้นๆ เลยครับ

ดูความเป็นมืออาชีพของคนที่เกี่ยวข้องกับเราในการสมัครและสัมภาษณ์งาน ดูความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสถานที่และโต๊ะทำงานของพี่ๆ ทั้งหลาย ดูความสะอาดสอ้านของโต๊ะ ทางเดิน ประตู สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงความใส่ใจของหัวหน้าและความเป็นมืออาชีพในการทำงานของคนที่นี่ ซึ่งมันจะเหนี่ยวนำให้ตัวเราเป็นอย่างนั้นในที่สุด น้องอยากเป็นแบบนั้นไหม..ลองคิดดูนะครับ

 

9. Facebook (Social) Profile – น้องไม่รู้หรอกว่าน้องกำลังถูก “ส่อง” ดูพฤติกรรมทางสังคม ใครไม่ทำผมไม่ทราบ..แต่ผมบอกได้เลยว่าคนที่จะมาเกี่ยวข้องกับชีวิตผม ผมดูความคิด ทัศนคติ มารยาท ความคิดความอ่าน และความมองโลกกว้างจาก Social Profile ทั้งหลายนี่แหละ

ไม่ว่าคุณจะเคยโพสต์ขายของเก่าในเว็บร้าง เคยวิจารณ์การเมืองอย่างเผ็ดร้อน ใช้ภาษาพ่อขุนฯ จนเป็นเรื่องปรกติในทุกโพสต์ เหล่านี้สะท้อนถึงปูมหลังและความคิดที่เหล่า HR อดไม่ได้ที่จะแอบดูนะ..จะบอกให้

 

ทิ้งท้ายไว้อีกเรื่อง คือเรื่องของความสมดุลในชีวิต ได้แก่ งาน-ครอบครัว-สุขภาพ ควรเลือกงานที่สามารถแบ่งเวลาให้กับ 3 อย่างนี้ได้อย่างสมดุลกัน ช่วงอายุ 22-30 อาจจะเพิ่มน้ำหนักในส่วนของงานได้อีกนิดหน่อยเพราะสุขภาพยังแข็งแรง และยังไม่ค่อยมีภาระทางครอบครัว ผมแนะนำให้ใช้ชีวิตช่วงนี้อย่างเต็มที่ในการสร้าง Profile และทักษะพื้นฐานของความสำเร็จในชีวิต

  • จงทำงานอย่าเห็นแก่เหน็ดเหนื่อย (แต่ต้องได้ความรู้)
  • จงเรียนรู้จากข้อผิดพลาดของตนเองและผู้อื่น (คนเราทำผิดได้ แต่อย่าผิดซ้ำท่าเดิม)
  • จงบีบคั้นตัวเองในเชิงคุณภาพให้เต็มที่ (เพื่อจะเลื่อนไปเล่นใน level ถัดไป..เหมือนในเกมส์ไง)
  • จงอย่าได้ละทิ้งเพื่อนร่วมเรียน..ทั้งมหาวิทยาลัยและเพื่อนสมัยนักเรียน (เพื่อเปิดโลกทัศน์ของอาชีพวงการอื่น)
  • จงอย่าหวังรวยเร็วเหมือนถูกหวย มันมีแต่ในหนัง ชีวิตจริงคุณจะเป็นเหยื่อของคนที่ฉลาดกว่า
  • จงฝึกทักษะเซลล์เข้าไว้ (ไปอ่านข้อ 3 อีกรอบ)

เลือกงานก็เหมือนเลือกคู่ ขอให้น้องๆ ประสบความสำเร็จในการสมัครงานครับ

อุ้ย..อุ้ย..เกือบลืม เรื่องข้อ 5. บริษัทเล็กหรือใหญ่ดี อ่านบทความนี้ใน JobsDB ครับ

ธนกร – ผู้ก่อตั้งตลาดปัญญา

ธนกร ชาลี ตลาดปัญญา โค้ช มาร์เก็ตติ้ง
ป.ล. ถ้ารักเพื่อนๆ ก็อย่าลืมแชร์บทความนี้ให้อ่านนะครับ

ความเห็น

14 พฤษภาคม 2015
Logo โลโก้ ตลาดปัญญาCopyright © 2014-2024 บริษัท โค้ช มาร์เก็ตติ้ง จำกัด All rights reserved ห้ามคัดลอก เลียนแบบ ทำซ้ำ ดัดแปลง ซึ่งรูปแบบและเนื้อหาทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของเว็บไซต์นี้          

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

อนุญาตทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึก
คอร์สไหน..
จะเปลี่ยนแปลงชีวิตคุณ?